Ecomm Journey – วันที่ 62

เมื่อวานไม่ได้ไปไหนนะ แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ยอมรับว่าสภาพจิตใจไม่ค่อยดีในหลายๆ ปัจจัยด้วย พยายามบอกตัวเองว่ายังไงก็ต้องฮึบแล้วลุกขึ้นสู้ต่อ ถ้ามานั่งเสียใจนั่งโทษนู่นนี่คงไม่มีอะไรดีขึ้น

วันนี้เลยนั่งทำ Product Research ต่อ พยายามเฟรมแนวคิดจากจุดเริ่มต้นใหม่คือจะเริ่มจากปัญหาแล้วค่อย Narrow Down มาที่สินค้า เมื่อวานตอนอาบน้ำคิดไว้ว่าอยากทำร้านออนไลน์เกี่ยวกับ Productivity & Focus เพราะเห็นใน Community Reddit ว่าหลายคนมีปัญหาแบบนี้ เราก็เป็นหนึ่งคนที่มีปัญหานี้ เลยพยายามมาหาสินค้าที่มาตอบโจทย์

หาเจอเป็น Pomodoro Timer คือมันหาตามร้านพวก Amazon ได้ไง หลังจากหาไปเรื่อยๆ ก็เจออีกหลายชิ้นเลยนะ วันนี้นั่ง Scroll Facebook อยู่ซักพักเลย เจอของเล่นชิ้นนึงน่าลองแต่มันดูก๊องแก๊งไปหน่อย

ถัดมาคือเจอสร้อยข้อมือที่เป็นรูปเต่าแล้วร้านก็เล่า Story ประมาณว่าทุกครั้งที่ซื้อจะเอากำไรส่วนนึงไปช่วยเต่า แล้วก็มีฟังก์ชั่น NFC ที่จะสามารถทำให้เราดูเต่าแต่ละตัวด้วย คือขาย Story ดีแหละ คนเข้าเว็บเยอะมาก ยอดขายน่าจะเยอะ (มีฉลาม มีโลมา มีสัตว์อื่นๆ อีกหลายตัวเลย)

เราเลยนึกไปเดียออกว่าถ้าขายด้วย Story แบบนี้มั่งคือทำร้านที่ขายสร้อยข้อมือหมา แล้วใช้ Story ว่าจะเอากำไรส่วนนึงไปช่วยหมาด้วยประมาณนี้น่าจะเวิร์คมั้ย (ถ้าทำก็จะเอาไปช่วยจริงๆ นะ)

พอช่วงบ่ายๆ ก็เลยคุยกับตัวเอง เพราะรู้สึกว่างานไม่ไปหน้ามาหลังซักที ซึ่งก็ช่วยได้นะ เพราะเหมือนได้นั่งคิดนั่งตกผลึกจริงๆ จังๆ

พอหลังจากที่คุยได้ซักแป๊ปแล้ว เราก็เริ่มทำ Product Research ต่อ โดยครั้งนี้มีเฟรมที่ชัดเจนคือใช้ Facebook Ads Library แล้วใช้ Keyword “Shop Now” จากนั้นเลือกที่ยัง Active แล้วเลือกวันย้อนไปประมาณ 2-3 อาทิตย์ แปลว่า Ads ที่จะโชว์ถูกรันมานานกว่า 2-3 อาทิตย์แล้ว ถ้าแบรนด์ยังรัน Ads ในระยะเวลานี้ แสดงว่าคงต้องมีกำไร (ถ้าขาดทุนคงปิด Ads ไปแล้วถูกมั้ย)

ทีนี้เวลาเราเจอสินค้าที่น่าสนใจ เราก็เก็บใส่ Note Notion ของเราไว้ จากนั้นก็เข้าไปเช็ค Facebook Page แล้วก็ไปดูที่ Page Transparancy มันจะบอกเราว่าเพจนี้รัน Ads อยู่ไหม ถ้ากำลังรันอยู่ก็เป็นสัญญาญที่ดีเลย คือมี Demand

วันนี้เก็บมาได้ 13 ชิ้นละ (เลขไม่ค่อยมงคลนะ55) พรุ่งนี้จะมาดูว่าในลิสต์ที่เลือกมานี้ สินค้ามันแก้ Problem อะไรในตลาดบ้าง พอได้ Problem แล้วเราค่อยมาดูว่ามีปัญหาไหนที่เราพอจะสนใจทำบ้าง (เช็ค Demand จากนั้นเช็คว่าเราอยากจะทำ Niche ไหนใน Demand ที่มี)

ประมาณนี้ไม่รู้ว่าเป็น System ที่โอเคไหม แต่ลองทำไปก่อนแล้วกัน ดีกว่าทำไปแบบไม่มีแผน ไม่มี Direction อะไรเลย

อีกความยากที่รู้สึกว่ากำลังเจออยู่ตอนนี้คือไม่ว่าเราจะเลือกอะไร มันก็มีแต่สิ่งที่คนสามารถขายตามได้ (เพราะคนอื่นก็ซื้อจาก Supplier แบบ Aliexpress ได้เหมือนกัน) เลยทำให้รู้สึกว่ามันยากจัง จนอยากจะลงทุนกับ Private Lable ไปเลย

แต่มันคงเป็นบททดสอบแหละเนอะ คนอื่นยังสามารถขายสินค้าพวกนี้ที่ใครก็หาได้ ไปหลักแสนกันได้ เราก็ต้องทำได้ดิ ฝึกสกิล Marketing กับ Copywriting ให้มากขึ้น

สู้หน่อยเฮ้ย

62/365